  
ญี่ปุ่นอยากให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศแหละเข้าใจ แต่ก็ต้องดูประชาชนจะว่ายังงัย ดังนั้นก็มีมาตรการค่อนข้างจะเข้มงวด พูดง่าย ๆ คือคุณไปไหนคุณต้องแจ้งที่คุณจะไป โดยมีไกด์ควบคุมสถานะการณ์ หากเข้าใจเค้า ก็เที่ยวแบบมีความสุข หากไม่เข้าใจเค้าก็อย่าไปเลย ให้อะไร ๆ เบา ๆ กว่านี้ก่อน
มีคนถามมาว่าตอนนี้ต้องใช้เอกสารอะไรในการยื่นวีซ่าท่องเที่ยว ขอตอบแบบง่าย ๆ เลยนะคะ
1. มีแลนด์OPERATION ที่จดทะเบียนบริษัทท่องเที่ยวสามารถทำใบ ERFSได้ ยื่นโปรแกรมทัวร์ทางอีเมล์ รอการอนุมัติใช้เวลา 1-2 วันทำการ
2. ได้ใบERFSทางอีเมล์เพื่อไปยื่นวีซ่าท่องเที่ยว
3. จัดเอกสารเพื่อยื่นวีซ่าท่องเที่ยว ขั้นตอนการยื่นวีซ่า (ใช้เวลาอนุมัติ 5 วันทำการ) มี 2 แบบ
คือ 1.ยื่นในนามบ.ทัวร์ 2.ยื่นด้วยตัวเอง
4. ลูกทัวร์ต้องปฏิบัติตามโปรแกรมตามเอกสารที่ยื่นโดยเคร่งครัด
5. ขั้นตอนการเข้าประเทศญี่ปุ่น ต้องตรวจ RT-PCRก่อนเข้าประเทศญี่ปุ่น 72 ชม. /ไม่ต้องกักตัว/เอกสารการฉีดวัคซีนไม่ต้องแสดง
ประเทศไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่รัฐบาลญี่ปุ่นอนุญาตให้เข้าประเทศได้ โดยดูจากการเคร่งครัดในการดูแลตัวเองจากโควิดของพวกเรา ดังนั้นคนที่ไปญี่ปุ่นในช่วงนี้ เหมือนเราได้ถือธงไทยไปเอาชัยชนะที่ญี่ปุ่น ถ้าเราทำที่เค้าวางแพลนไว้อย่างถูกต้อง คนไทยก็ไปต่อได้ แต่ถ้ามีแกะดำทำอะไรให้มีปัญหา รัฐบาลญี่ปุ่นก็คงต้องมาพิจารณาใหม่ ส่วนเรื่องไม่มีวีซ่าไหมในอนาคตก็ตอบไม่ได้
มีโอกาสได้ไปทำทัวร์ไปกลับโอซาก้าในช่วงวันที่ 13 - 18 กรกฎาคม 65 เป็นกรุ๊ปเล็ก ๆ ก่อนเดินทาง ก็ทำเอกสารวีซ่าให้ลูกค้า ในการยื่นวีซ่า ทำโปรแกรมทัวร์ส่งให้บริษัททัวร์ทางญี่ปุ่นยื่นให้กับกองควบคุมโรคเพื่ออกใบ ERFS ใช้ประกอบการยื่นวีซ่า (ดูขั้นตอนใน J VAC) เอกสารพร้อมใบเวลายื่นทั้งหมด 5 วันทำการ
สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนบิน
1. ไม่ไปประเทศที่เป็นสีเหลือง ภายใน 14 วันก่อนเดินทาง
2. พยายามหลีกเลี่ยงการเป็นโควิด หากภายใน 72 ชั่วโมงเกิดตรวจ RT-PCR เป็นบวก ไปต่อไม่ได้ อดไปญี่ปุ่นเลย
3. ควรสแกนแอป my sos ให้ครบทั้ง4 ขั้นตอน จากหน้าสีชมพู เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน จนได้ไอดีไลน์ถือว่าการลงแอป completed ( ข้อแนะนำ ทางญี่ปุ่นไม่สนว่าคุณจะฉีดกี่เข็ม ดังนั้นในขั้นตอน Vaccine certificate ให้ติ๊กว่า “will not submit” แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง จากนั้น รอ up load ผล RT-PCR ก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งไม่ยากเลย)
4. เตรียมไวไฟ เพื่อใช้เมื่อถึงญี่ปุ่น ซึ่งตอนนี้ก็มีหลายค่ายมือถือ บางค่ายก็มีกำหนดจำนวนกิ๊กที่ใช้ แต่คนเขียนใช้ samurai ไวไฟ ตกวันละ 150 บาท ไม่จำกัดจำนวนกิ๊กที่ใช้ และสามารถแชร์ได้ 5 เครื่องก็สดวกดี แต่ที่สำคัญต้องซื้อประกันเครื่องด้วยนะ ตกวันละ 50 บาท หากทำหายแล้วไม่มีประกันต้องจ่ายค่าเครื่อง 2 หมื่นกว่าบาท ก็หนักเอาการอยู่
5. ญี่ปุ่นไม่มีตรวจ ATK เวลาจะตรวจโควิดก็ต้องไปโรงพยาบาล ดังนั้นสมควรพกATKไปบ้าง
ตอนเช็คอิน รับใบขึ้นเครื่องบิน
ต้องยื่นผลตรวจRT-PCR ภายใน 72 ชั่วโมง ให้มีผลเป็นลบนะคะ มีคนญี่ปุ่นมาเช็คอิน คงไม่ได้ดูใบ พนักงานเห็นผลเป็นบวกแทบวงแตก พนักงานคุยกันไม่รู้เรื่อง เราต้องไปบอกแบบไกล ๆ ว่า คุณเป็น Yo- sei( Positive ผลบวก 陽性) คนญี่ปุ่นคนนั้นคงรีบไป รพ.แน่เลย
เล้าจน์ของสายบิน สำหรับท่านที่นั่งชั้นบิสเนส หรือ บัตรทอง บางสายการบินยังไม่เปิดดำเนินการ หรือยังเปิดไม่เต็มตัว ดังนั้น เวลาเช็คอินต้องถามที่เคานเตอร์ว่ามีเปิดที่ไหนบ้าง ยังเปิดไม่ครบ
ขั้นตอนหลังจากลงเครื่องบิน
เราก็อยู่ในเครื่องบิน 5-6 ชม. ก็ชาร์ทแบตมือถือให้เต็ม เครื่องลงเรียบร้อย เปิดสัญญาณไวไฟ เตรียมแคปหน้าจอไอดีไลน์ที่หน้าเป็นสีน้ำเงินให้เรียบร้อย ( ถ้าหน้านี้หาย หรือไม่มีแล้วต้องโหลดทำใหม่จะเสียเวลามาก ดังนั้นควรที่จะทำให้เรียบร้อยก่อนขึ้นเครื่องมาญี่ปุ่น ) เจ้าหน้าที่จะขอดูว่าคุณโหลดแอปนี้ยัง จากนั้นก็เข้ามานั่งโต๊ะสัมภาษณ์ทีละครอบครัว คำถามแรก คือ ใน14 วันที่ผ่านมาคุณไปที่ไหนบ้าง ที่นอกจากประเทศที่คุณอาศัยอยู่ หากไปประเทศที่เป็นสีเหลือง หรือแดง โอกาสจะไม่ให้เข้าประเทศมีสูงมาก คำถามที่ 2 คุณมีอาการไอ หรือ มีไข้ หรือเจ็บคอ หรือไม่ ถ้าตอบว่ามี คุณได้ไปเที่ยว รพ.ที่ญี่ปุ่นแน่นอน ข้อที่ 3 คุณเป็นโควิดมาแล้วนานแค่ไหน ถ้าตอบเมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาก็อาจได้ไป รพ.ที่ญี่ปุ่นเพื่อตรวจเช็คอีกครั้ง ดังนั้นเป็นที่รู้กันว่าจะตอบอย่างไร หากตอบทุกอย่างที่ถูกต้อง ไม่เอาโรคโควิดมาด้วย ท่านจะได้ใบสีฟ้า จากนั้นมาอีก
เคานเตอร์นึง เพื่อแจกแจงให้แสดงความเข้าใจในการดูแลตัวเองในระหว่างท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ก็จะให้ข้อมูลว่า ควรสวม
แมสตลอดเวลา แต่หากอยู่ในที่โล่งแจ้งไม่สวมแมสก็ได้ โดยให้พูดคุยห่างกันประมาณ 2 เมตร และหากอยู่ภายในตึกหากไม่สวมแมสห้ามพูดคุยกัน แต่อยู่ในที่สาธารณะต้องสวมแมสทุกครั้ง ผ่านขั้นตอนการตรวจเอกสารสุขภาพแล้ว ก็มาผ่านตรวจคนเข้าเมือง ก็ใช้ใบเข้าเมืองสีขาวสั้น ๆ ใบเดิม จากนั้นก็มารับกระเป๋า ก็จะมีเจ้าหมาน้อยมายืนดมกระเป๋าของพี่ไทยทีละใบ ซึ่งตรวจอย่างละเอียด เนื่องจากเราเสรีกัญชางัย (อย่าหลงเอาผลิตภัณฑ์กัญชาไปละ เดี๋ยวได้ไปกินข้าวแดงที่ญี่ปุ่น ไม่มีใครช่วยได้นะ)จากนั้นก็ยื่นใบสีเหลืองใบดีแคร์กระเป๋า ถือว่าเสร็จสิ้นกระบวนการ
ระหว่างท่องเที่ยวญี่ปุ่น
ในระหว่างท่องเที่ยว จะตั้งกฎอย่างไรก็ตาม เราก็สวมแมสตลอดเวลา นอกจากอยู่ในห้องพักส่วนตัว ซึ่งคนญี่ปุ่นจะมีกฎระเบียบประกาศว่า อยู่Outdoor ไม่ต้องสวมแมสก็ได้ ซึ่งก็มีน้อยมากที่ไม่สวมแมส ส่วนใหญ่ก็จะป้องกันกันอยู่ และที่ที่ไหนที่มีการจับต้องจะมีแอลกอฮอล์วางไว้ทุกที่ เราแทบไม่ต้องเตรียมแอลกอฮอล์ส่วนตัวเลย
ความเปลี่ยนแปลงของสถานที่
ศาลเจ้า เวลาเข้าศาลเจ้าเราต้องล้างมือ ล้างปากก่อนไหว้เจ้า เค้าก็ปรับ โดยไม่ใช้กระบวย เปลี่ยนเป็นท่อน้ำไหล ใช้มือรองเหมือนน้ำก๊อกไหลเบา ๆ เราก็ล้างมือล้างปากได้อย่างสบายใจ แต่บางที่ก็ไม่มีให้ล้างเลยปิดบริเวณที่ล้างมือไปเลย
การช๊อปปิ้ง ในช่วงโควิดร้านค้าต่าง ๆ ก็น่าจะมีแต่ลูกค้าคนญี่ปุ่นซึ่งซื้อของก็พอประมาณ พอใช้ ไม่เหมือนพี่ไทย จะซื้อทีก็โกยทั้งเชว เอาทั้งกล่อง เอาทั้งโหล แต่พอพี่ไทยไม่อยู่ เค้าก็ปรับการขายกลับมาสภาพเดิม ก็เปิดสาย ๆ อย่างร้าน Drug store เปิด 10 โมงเช้า ปิดทุ่มนึง บางร้านอย่างช้าก็ 2 ทุ่มก็ปิดแล้ว ส่วนสต๊อกของก็ไม่มี มีแค่วางที่เชว ชนิดละชิ้น 2 ชิ้น ดังนั้น คนที่ไป กะว่าจะซื้อกลับมาเยอะ ๆ เหมือนเดิม คงต้องเสียเวลาเดินหลายร้านกว่าจะได้ครบ และบอกเพื่อนที่ฝากซื้อด้วย ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม สินค้าโดยรวมก็แพงขึ้น แต่ค่าเงินเยนลง คำนวณไปมาก็ราคาเหมือนเมื่อ 2ปีก่อน ไม่แตกต่าง สำหรับภาษี ก็ยังมี เมื่อซื้อครบ 5000 เยนขึ้นไป ท่านจะได้คืน tax 10 % เหมือนเดิม มีหักค่าธรรมเนียมด้วย ท่านจะได้คืนมาไม่ครบ น่าจะหักประมาณ 1- 1.5% แล้วแต่บางที่ ดังนั้นเวลาไปช๊อปปิ้งก็อย่าลืมพาสปอร์ต แต่สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน หรืออาหารสด หรือสินค้าที่ใช้เดี๋ยวนั้นจะไม่มีการลดภาษีนะคะ หลังจากซื้อสินค้าลดภาษีแล้วก็ใส่กระเป๋าเดินทาง ไม่ต้องมาโชว์ที่สนามบิน เดี๋ยวนี้ออกใบเสร็จให้ใบเดียว ไม่มีใบเสร็จที่ติดในพาสปอร์ตให้แล้ว แต่ว่า ถ้าใครซื้อของราคาแพง ๆ เช่นนาฬิกาเรือนละหลายล้าน หรือกระเป๋ายี่ห้อแพง ๆ ทางร้านจะให้โหลดแอปเพื่อยื่นให้ศุลากรญี่ปุ่น หากศุลากรญี่ปุ่นขอดู ควรที่จะนำสินค้านั้นติดตัวด้วย เพราะทางศุลากรญี่ปุ่นป้องกันการฝากซื้อของคนญี่ปุ่นเพื่อเลี่ยงภาษี
การทานบุพเฟ่ต์ ในการท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่น ยังงัยเราก็เลี่ยงอาหารบุพเฟ่ต์ไม่ได้ อย่างน้อยอาหารเช้าที่โรงแรมก็เป็นบุพเฟ่ต์ แต่ไม่ต้องกังวลคะ พื้นฐานคนญี่ปุ่นเป็นคนมีระเบียบอยู่แล้ว ดังนั้น ทางเข้าห้องอาหารจะมีตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อน จากนั้นให้ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ และวางถุงมือไว้ เวลาไปตักอาหารให้ใส่ถุงมือทุกครั้ง ซึ่งโดยรวมแทบไม่ต้องมาบอกย้ำเลยคะ ทุกคนทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด
ที่นั่งในร้านอาหาร ในช่วงนี้โควิดยังระบาดอยู่ อย่างร้านอาหาร ส่วนใหญ่ก็จะให้นั่ง ที่ละ 1-2 คน โดยมีฉากกั้น และยังให้เว้นระยะห่างอยู่ ดังนั้น การไปเที่ยวแบบกลุ่มใหญ่ นั่งโต๊ะนึง 6-7 คน คงเป็นไปไม่ได้ ต้องนั่งแยก ๆ กัน
ตอนเช็คอิน รับใบขึ้นเครื่องบินขากลับ แสดงผลการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 3 เข็มให้สายการบินดูด้วยนะคะ
**ขากลับเล้าจน์การบินไทยที่สนามบินคันไซยังไม่เปิดนะคะ ให้เป็นคูปอง 1200 เยนแทน ให้มาทานที่ แมคโดนัลด์ก่อนเข้าตม. หรือ ทานที่ ร้านกาแฟpronto ด้านในตึกเมนก่อนนั่งรถไฟไปขึ้นเครื่องบิน
|